วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สะอึก? เรื่องเล็ก

กลับไทยคราวนี้ มีอยู่วันหนึ่งพี่ที่ทำงานที่บ้านผมเดินเข้ามาหาผม บอกว่า "หมอช่วยหน่อยสิ สะอึกมาสองวันแล้ว ไม่หายสักที"

ปกติผมไม่ค่อยสะอึก และถึงจะสะอึกกินน้ำสักพักก็หายเอง ผมก็ถามว่ากินน้ำหรือยัง เขาบอกว่ากินจนจะเป็นอูฐอยู่แล้ว กินเยอะมากไม่หายสักที

"แล้วลองทำให้ตกใจละ" ผมถามต่อ

"เนี่ยตั้งแต่สะอึกโดนพี่คนงานคนอื่นตีซะจนช้ำหมดแล้ว" (นัยว่าจะช่วยให้ตกใจหายสะอึก ตีซะจนเขาบอกว่าไม่ต้องตีแล้ว ไม่ได้ผลหรอก)

ผมก็นั่งเค้นสมองคิดว่าจะช่วยอย่างไร ความรู้ที่เรียนมาเป็นเวลาสามปีวิ่งวนอยู่ในหัว อุตส่าห์มาเรียกเราหมอ รักษาไม่ได้จะเอาหน้าไปไว้ไหน

"การสะอึก​ (hiccup) ​คือ​ ​การที่กล้ามเนื้อกระบังลมเกิดทำ​งาน​ไม่​สัมพันธ์​กับ​กล้ามเนื้อซี่​โครง

​เป็น​ภาวะปกติที่​เกิด​ได้​กับ​ทุกคน​ ​แต่ก็อาจ​เป็น​ภาวะผิดปกติ​ได้​เหมือ​กัน

​ซึ่ง​มัก​จะ​เกี่ยว​กับ​ระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่​ช่วย​ใน​การหายใจ​ ​แต่มี​โอกาสพบน้อยมาก (ข้อมูลจากเวบครับ)"

ยังดีที่สมองผมยังไว้หน้าผมบ้าง พลันคิดออกมาได้ว่า การสะอึกเนี่ย ทางแพทย์จีนบอกว่าเป็นเพราะลมปราณในกระเพาะมันตีขึ้น ปกติลมปราณกระเพาะควรวิ่งลงล่าง ถ้าตีขึ้นก็จะเกิดอาการต่างๆ เช่น อยากอาเจียน เรอ รวมถึงสะอึกด้วย

และจำได้ว่าเขามีวิธีการรักษาอีกแบบนึง คือการทำให้จาม ฮัดเช่ยๆๆ อยากรู้จังเลยว่าใครเอ่ยถึงกัน

แต่กว่าจะส่งแรงคิดถึงทำให้พี่เขาจามได้คงกินเวลาเกินไป ผมเลยเดินเข้าไปในครัว คว้าขวดพริกไทยมา เขย่าใส่มือเขาและบอกให้ดม เป็นไงละ ไอเดียบรรเจิดมาก

เพื่อความเท่าเทียม ผมเลยเขย่าใส่มือตัวเองด้วย กะจามเป็นเพื่อนกันนิดหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าหมอให้ทำ ตัวหมอเองยังไม่เคยลอง

สูดเข้าไปพร้อมกันปุป เขาไม่จามเลยสักนิดเดียว บอกว่าแสบจมูกอย่างเดียว

ส่วนตัวหมอนั้น จามซะน้ำหูน้ำตาไหล (แสดงว่าพริกไทยทำให้จามได้จริงครับ)

"ฮัดชิ่ว พี่ไม่เป็น ชิ่ว ไรเหรอ ฮัดชิ่ว" ผมพูดไปก็จามไป

เอาละสิครับ ทำไงดีละ จะฝังเข็มให้พี่แกก็ดันกลัวเข็มอีก ความรู้หมดพุงแล้ว ณ วินาทีนั้นนึกตำหนิตัวเองมาก นี่ตูเสียเงินไปตั้งเยอะ บินไปเรียนเมืองนอก กลับรักษาโรคสะอึกไม่ได้เนี่ยนะ ท้อครับท้อ

เอาวะลูกผู้ชายต้องยอมรับ เราหมดภูมิก็ต้องความช่วยเหลือ ก็เลยกริ๊งกร๊างไปหาหมอ"ใหญ่" พ่อของแฟนผม

หมอ"ใหญ" ชี้ทางสว่างให้ครับ ว่าให้ อมน้ำตาลราวหนึ่งช้อนโต๊ะไว้ อย่ากินน้ำ ปล่อยมันละลายไหลลงคอไปเอง วิธีนี้เฉียบขาดนัก ต่างประเทศก็มีรายงานเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องนี้

งงสิ! เกิดมาพึ่งเคยรู้นี่แหละครับว่าอมน้ำตาลรักษาอาการสะอึกได้

"ถ้ายังไม่หายเว้นสักสิบนาทีก็กินไปอีกหน่อย ยังมีอีกวิธีก็คือ ให้กดจุด ฉวนจู๋

(攒竹) ตรงหัวคิ้วด้านในตามรูปครับ จะใช้นิ้วไหนกดก็ได้ กดค้างไว้ 5 วินาที แล้วปล่อย ทำสัก 5-6 ครั้ง"

งงอีกละสิ! หัวคิ้วกะสะอึกเนี่ยนะ ประสบการณ์นี่สำคัญจริงๆครับ เอาละต้องตั้งใจอ่านหนังสือให้มากกว่านี้

วางสายปุ๊ป ร้อนวิชาทันที รีบไปบอกให้พี่เขาอมน้ำตาลก่อน ปรากฎหมดไปหนึ่งช้อนยังไม่หาย ผมเลยบอกให้อมช้อนที่สองต่อ และช่วยกดจุดที่หัวคิ้วให้พี่เขาไปด้วย

ผ่านไปสักห้านาทีก็หยุดครับ หยุดจริงๆไม่มีกระปิดกระปอยเลย ผลเจ๋งมาก เสียดายที่ไม่รู้ว่าตกลงหายเพราะน้ำตาลหรือเพราะกดจุดกันแน่

มานั่งหาความรู้ทีหลังว่าทำไมน้ำตาลกะการกดจุดถึงช่วยได้ ได้ความว่ารสหวานเนี่ยมีฤทธิ์ในเรื่องการทำให้ช่วงท้องพวกกระเพาะและระบบการย่อยอาหาร (ตามหลักหมอจีนนะครับ) มันทำงานราบรื่นและสมดุลเหมือนเดิม ส่วนทางหมอแผนปัจจุบันบอกว่าความหวานมันไปกระตุ้นระบบประสาทให้กะบังลมทำงานเป็นปกติ

ส่วนเรื่องกดจุดนี่ ผมก็นั่งดูตามเส้นลมปราณแล้วก็ไม่ค่อยเกี่ยว คงบอกได้แต่เพียงว่าร่างกายเราทำงานเป็นองค์รวมจริงๆ เด็ดดอกไม้สามารถกระเทือนถึงดวงดาวฉันใดก็ฉันนั้นครับ ฝังเข็มเอาเลือดออกที่นิ้วยังแก้เจ็บคอได้นี่ แล้วนี่กดหัวคิ้วแก้โรคสะอึกจะประหลาดอะไรละ

คราวหน้าถ้าเพื่อนๆสะอึกก็ลองเอาสองวิธีนี้ไปใช้ดูนะครับ แล้วถ้าจะให้ดีช่วยลองใช้วิธีการกดจุดก่อนโดยไม่อมน้ำตาลว่าหายไหม ผมละอยากรู้จริงๆครับ

ปล. ที่มีคนถามถึงเรื่องถ้าเป็นคนขี้ร้อน ร้อนในง่ายให้กินอะไร ก็จะบอกว่าให้กินชาเก๊กฮวยครับ แต่ขออย่ากินแบบแช่เย็นนะครับ แล้วก็ไม่ต้องใส่น้ำตาลด้วย เพราะเก๊กฮวยฤทธิ์เย็นอยู่แล้ว กินแบบแช่เย็นอีกนี่กระเพาะย่อยอาหารไม่ได้พอดี

ชาเก๊กฮวยนี่นอกจากจะดับร้อนได้แล้ว ยังเหมาะกับคนที่หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียด้วยครับ ความดันสูงก็กินได้ โดยเฉพาะความดันสูงประเภท หน้าตาแดงก่ำ ปวดหัวบวมๆ นิสัยเร่งรีบ หงุดหงิดง่าย เหมาะมากครับ แต่ถ้าใครกินแล้วถ่ายเหลวก็หยุดนะครับ อันนั้นเป็นผลข้างเคียงครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น